The Umbrella Academy Season 2

ดูหนังฟรี

รีวิว The Umbrella Academy Season 2

ซีรีส์ซุปเปอร์ฮีโร่ อ้างอิงจากคอมิกในชื่อเดียวกันของทีมซุปเปอร์ฮีโร่นอกคอกกลุ่มนี้ ซึ่งตัวละครและเนื้อหาอ้างอิงมาจาก Comic ในชื่อเดียวกันที่ออกโดย Dark Horse Comics ตั้งแต่เปี 2007 แล้วหลังจากนั้นจึงถูกพัฒนามาเป็นซีรีส์ โดยซีซันแรกเข้าฉายทางช่อง Netflix เมื่อปี 2019 และล่าสุดซีซันสองก็เข้ามาฉายเรียบร้อย รีวิว The Umbrella Academy Season 2

เรื่องย่อ

กลุ่มซุปเปอร์ฮีโร่ที่มาจากการรวมตัวกันของเด็กหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งที่เกิดในวันและเวลาเดียวกันคือวันที่ 1 ตุลาคม ปี 1989 แล้วทั้งหมดถูกค้นหาและนำมารวมตัวกันโดย เซอร์เรจินัลด์ ฮากรีฟฟ์ อภิมหาเศรษฐีและนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องนิสัยพิลึก ที่ได้ออกเดินทางไปทั่วโลกแล้วรวมตัวพวกเขาไว้ ทั้งสถาปนาตนกลายเป็นพ่อของพวกเขา จากนั้นก็ฝึกฝนและให้พวกเขาตั้งทีมซุปเปอร์ฮีโร่ขึ้นมาเพื่อภารกิจช่วยโลก

สำหรับตอนจบในซีซันแรก สมาชิกทั้ง 6+1 ของทีม อัมเบรล่า ได้ออกสืบหาและเผชิญหน้ากับหน่วยงานพิทักษ์เวลาที่เรียกตัวเองว่า เดอะคอมมิชชั่นเนอร์ รวมถึงหาต้นตอที่ทำให้เกิดวันสิ้นโลก แล้วก็พบว่าต้นเหตุจริงๆก็มาจากหนึ่งในสมาชิกของพวกเขา นั่นคือ หมายเลข 7 หรือ วานญา ที่เคยถูกพ่อบอกว่า ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร แต่ที่จริงแล้ว เธอถูกเปลี่ยนความทรงจำ เพราะพลังพิเศษของเธออันตรายเกินไปและไม่สามารถควบคุมได้ จนถึงขนาดที่ส่งผลทำให้เกิดวันสิ้นโลก

โดยในตอนจบซีซันแรก สมาชิกทีมอัมเบรล่าเลือกแก้ไขด้วยการพาตัววาลญาและทุกคนย้อนเวลากลับไปอดีต แต่กลายเป็นว่าย้อนไกลไปหน่อย ทำให้ไปอยู่ในปี 1963 ที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส เพียงแต่ว่าทุกคนย้อนมาในช่วงเวลาที่เหลื่อมล้ำกันหมด ทำให้ทุกคนต้องหาหนทางเอาชีวิตรอดในยุคอดีตที่ตนไม่คุ้นเคยและก็ต้องหาทางกลับมารวมตัวกันเพื่อทำภารกิจแก้ไขวันสิ้นโลกที่ถูกทำให้ร่นเวลากลับมาในปี 1963 ซะอย่างนั้น


ก่อแฟนคลับแบบเงียบ ๆ หลังจบซีซันแรกของ The Umbrella Academy ที่ทาง Netflix ทุ่มทุนสร้างจากคอมิกต้นฉบับของ Dark Horse Comic โดยมี เจอร์ราด เวย์ เป็นคนแต่งเรื่องราวของเหล่าฮีโรนอกคอกและมีปัญหาครอบครัว ด้วยความแปลกใหม่ของเนื้อหาที่ผสมผสานทั้งการเมือง ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมพอปต่าง ๆ เข้าไปก็ทำให้ตัวซีรีส์ประสบความสำเร็จจนได้มีซีซัน 2 ออกมาในวันนี้

เนื้อเรื่องในซีซั่นนี้

สำหรับตอนจบในซีซันแรก สมาชิกทั้ง 6+1 ของทีม อัมเบรล่า ได้ออกสืบหาและเผชิญหน้ากับหน่วยงานพิทักษ์เวลาที่เรียกตัวเองว่า เดอะคอมมิชชั่นเนอร์ รวมถึงหาต้นตอที่ทำให้เกิดวันสิ้นโลก แล้วก็พบว่าต้นเหตุจริงๆก็มาจากหนึ่งในสมาชิกของพวกเขา นั่นคือ หมายเลข 7 หรือ วานญา ที่เคยถูกพ่อบอกว่า ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร แต่ที่จริงแล้ว เธอถูกเปลี่ยนความทรงจำ เพราะพลังพิเศษของเธออันตรายเกินไปและไม่สามารถควบคุมได้ จนถึงขนาดที่ส่งผลทำให้เกิดวันสิ้นโลก

โดยในตอนจบซีซันแรก สมาชิกทีมอัมเบรล่าเลือกแก้ไขด้วยการพาตัววาลญาและทุกคนย้อนเวลากลับไปอดีต แต่กลายเป็นว่าย้อนไกลไปหน่อย ทำให้ไปอยู่ในปี 1963 ที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส เพียงแต่ว่าทุกคนย้อนมาในช่วงเวลาที่เหลื่อมล้ำกันหมด ทำให้ทุกคนต้องหาหนทางเอาชีวิตรอดในยุคอดีตที่ตนไม่คุ้นเคยและก็ต้องหาทางกลับมารวมตัวกันเพื่อทำภารกิจแก้ไขวันสิ้นโลกที่ถูกทำให้ร่นเวลากลับมาในปี 1963 ซะอย่างนั้น

ส่วนในซีซันสอง การเดินเรื่องมีความกระชับฉับไวมากขึ้น ทั้งที่ปมดราม่าจะหนักหน่วงกว่าในซีซันแรก แถมขยายจากปัญหาส่วนตัวของแต่ละคนมาเป็นปัญหาดูหนังฟรีที่เชื่อมโยงกับผู้คนในสังคม ซึ่งมันกลายเป็นว่าเรื่องราวดูน่าติดตามกว่าในซีซันแรก เพราะตัวละครหลักทั้งหมดมีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น ความดราม่าจิตตกในปัญหาส่วนตัวของแต่ละคนลดลง แล้วไปเชื่อมโยงกับผู้คนที่อยู่รอบข้างมากขึ้นแทน

ในตอนแรก เปิดเรื่องมาด้วยการที่แต่ละคนย้อนเวลากลับมาในปี 1963 เพียงแต่มากันคนละช่วงเวลา ในขณะที่หมายเลขห้า ที่มีพลังย้อนเวลาและเป็นความหวังที่จะกลับบ้านของทุกคนกลับย้อนไปช่วงเวลาที่เกิดวันสิ้นโลก (อีกแล้ว!!!) เพียงแต่คราวนี้มันเกิดขึ้นในปี 1963 จากการที่สหรัฐอเมริกาและโซเวียตเปิดฉากยิงนิวเคลียร์ใส่กัน

นั่นทำให้หมายเลขห้าต้องย้อนเวลากลับไปเพื่อตามหาสมาชิกทั้งหมดที่กระจายกันอยู่ในเมืองดัลลัสปี 1963 เพื่อรวมทีมฮีโร่ หาทางยับยั้งวันสิ้นโลก ซึ่งจุดเริ่มต้นมีความเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารประธานาธิบดี เจ เอฟ เคเนดี้ หรือ JFK ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ แต่มันมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางอย่างที่ดันส่งผลให้เกิดวันสิ้นโลกจากนิวเคลียร์ซะอย่างนั้น

ความน่าสนใจของซีซันนี้

อยู่ที่ “การเล่นกับประวัติศาสตร์อเมริกา” มีการจิกกัดสังคมอเมริกาในยุค 60 ที่หลายอย่างก็ยังเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงสังคมยุคปัจจุบันด้วย แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวหนังจงใจแค่ไหน แต่มันช่างเข้ากับสถานการณ์ Black Live Matter ที่ทำให้คนผิวสีออกมาประท้วงในสหรัฐตอนนี้ด้วย

นอกจากนี้รายละเอียดอื่นๆในตัวซีรีส์ก็น่าจะถูกใจคนที่ชอบประวัติศาสตร์อเมริกาในช่วงนั้น เพราะมีการลากโยงมาเชื่อมต่อกัน และการตีแผ่ทางสังคมต่างๆด้วย

การดำเนินเรื่อง

ในแง่ของการเดินเรื่อง เดิมในซีซันแรก การเล่าเรื่องหนังออนไลน์จะแบ่งออกไปตามพี่น้องทั้ง 6 คน ในซีซันนี้ก็ใช้วิธีเล่าเรื่องแบบเดียวกัน เพียงแต่รอบนี้มีการวาง “ธีมด้านสังคม” ที่ค่อนข้างชัดเจนและน่าสนใจอย่างมากสำหรับเส้นเรื่องของทุกคน ซึ่งต้องยอมรับว่า ทุกตัวละครมการเปลี่ยนลุคจากซีซันแรกแล้วดูดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควรเลย

หมายเลยหนึ่ง – เส้นเรื่องที่มีการเชื่อกับเรื่องสังคมใต้ดินของอเมริกา แต่แตะแค่ผิวๆ ไปเน้นธีมของการเป็นฮีโร่ที่ล้มแล้วชีวิตเป๋

หมายเลยสอง – รอบนี้เปลี่ยนลุค มารับบทนักสืบและคนรักชาติเต็มที่ และยังมีเรื่องราวแบบโรมานซ์กับสาวหน้าใหม่ด้วย

หมายเลยสาม – ความเหลื่อมล้ำของคนผิวสี เล่นประเด็นนี้เต็มที่ น่าเสียดายที่ตอนท้ายไม่ได้วกมาเคลียร์บทสรุปเท่าไหร่

หมายเลยสี่และหก – เส้นเรื่องที่กัดพวก ฮิปปี้ บุปผาชน และ LGBT อาจจะดูน่ารำคาญบ้างในบางตอน แต่การแสดงกินขาด

หมายเลยห้า – ยังคงเป็นตัวเดินเรื่องด้านการสืบหาความจริงและการย้อนเวลา การแสดงของเขาเป็นตัวแบกเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก

หมายเลยเจ็ด – คราวนี้พลิกคาแรคเตอร์จากภาคแรกเลย ลดความดราม่าส่วนตัวลงไปมากๆ แถมยังมาเล่นมุม LGBT ด้วย

ด้านนักแสดง

สำหรับซีซันนี้นักแสดงที่โดดเด่นที่สุดยังคงเป็น โรเบิร์ต ชีฮาน เช่นเคยเพราะบทเคลาส์ให้โอกาสเขาได้เล่นอะไรสนุก ๆ เยอะมากทั้งอาการเมา ๆ แฮง ๆ แบบกัปตันแจ๊ก สแปร์โรว์ หรือบทดรามาที่ตัวเองพยายามไม่ให้คนรักต้องไปร่วมรบในสงครามเวียดนามเขาก็ยังทำได้ดีเช่นเคย

ส่วน ไอแดน กัลลาเกอร์ ก็น่าจะแจ้งเกิดได้ไม่ยากเลยทีเดียว เพราะคราวนี้เขาไม่ได้มีบทบาทแค่หลังตอน 5 เหมือนซีซันแรกแล้ว แต่คราวนี้ย้ายมาเป็นกระดูกสันหลังของเรื่องราวในฐานะพี่ชายในร่างเด็กมัธยมที่พยายามพาครอบครัวกลับบ้านที่ทั้งโหด บ้าดีเดือด แต่ก็เท่ไม่หยอกเลย

น่าเสียดายที่สุดคงหนีไม่พ้นคนที่ได้บทดี ๆ อย่าง เอลเลน เพจ, เอมมี เรเวอร์ แลมป์แมน และ เดวิด คาสตาเนดา ที่รายแรกอุตส่าห์มีบท LGBTQ ที่เด่นกว่าตัวละคร เคลาส์ แต่ด้วยบุคลิกที่ดูแล้วยังไม่เชื่อว่าเธอเป็นเด็กสาวอินโนเซนต์ที่เพิ่งรู้จักรักครั้งแรกจากสาววัยกลางคนเลยทำให้ดรามาในส่วนของเธอกลายเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างอืดอาด

ส่วน เอมมี เรเวอร์ แลมป์แมน แม้จะถูกบิลต์จากซีรีส์มาตั้งแต่ซีซันแรกว่าเธอคือคนสวยเราก็ดันยังไม่เตะตากับลุคเธอเท่าไหร่ ยิ่งมาซีซันนี้มาแต่งเป็นสาวยุคโมทาวน์แบบไม่เข้ากับทรงหน้าเธอยิ่งแล้วใหญ่ ส่วนการแสดงแม้จะได้เป็นหนึ่งในตัวละครที่มีบทบาทกับประวัติศาสตร์คนผิวสีแต่เรากลับไม่รู้สึกตามเธอเท่าไหร่ด้วยแอ็กติงที่ยังไปไม่สุดและไม่โดดเด่นในฐานะตัวละครนำเท่าที่ควร

ส่วน เดวิด คาสตาเนดา นี่มีทั้งหน้าหล่อ ๆ แบบหนุ่มละตินและสกิลปามีด แต่เสน่ห์เวลาเข้าคู่กับ ลิลา (ริตู อาร์ยา) สาวอินเดียหน้าคมสุดอันตรายแล้วคือไม่เกิดเลยกลับหมองไปในทุกซีนที่เข้าคู่กัน เป็น ทอม ฮอปเปอร์ กับ จัสติน เอช มัน ซะอีกที่น่าสงสารเพราะพวกเขาได้มีบทบาทเป็นแค่บทประกอบแบบสำคัญไม่เท่าคนอื่นแต่มีการแสดงที่น่าสนใจทีเดียว โดยเฉพาะคนหลังที่หน้าตี๋ ๆ หล่อ ๆ น่าจะสร้างแฟนคลับสาว ๆ ได้ไม่ยากเลย

รีวิว The Umbrella Academy Season 2

และยิ่งไปกว่านั้น ในซีซันที่ 2 ยังมีตัวละครที่น่าสนใจอีกเพียบทั้งพี่น้องสวีเดน 3 เกลอที่โหดจัดและบ้าบอคอแตกมาก หรือจะเป็นตัวละครประธานกลุ่มเดอะ คอมมิชชัน ที่หัวเป็นโหลปลาทอง ไปจนถึงตัวละครแสบ ๆ ทั้ง ลิลา ที่ได้สาว ริตู อาร์ยา สาวอินเดียหน้าคมเสน่ห์ร้ายที่น่าจะทำให้หนุ่ม ๆ หลงไหลได้ไม่ยาก

ไปจนถึง MVP ประจำซีซันอย่างเดอะแฮนด์เลอร์ ที่ได้ เคต วอล์ช นักแสดงตัวแม่จากซีรีส์ Grey Anatomy มารับบทผู้จ้างวานตายยากแสบสารพัดพิษได้แซ่บถึงพริกถึงขิงว่าขนาดคอสตูมนางว่าเวอร์วังแล้ว แต่แอ็กติงคือชนะเลิศและฆ่าเพื่อนร่วมจอตายหมดจริง ๆ

จุดด้อย

สำหรับจุดด้อย ที่ก็ยังเป็นจุดอ่อนจากภาคแรกเช่นเดิมก็คือ ฉากแอ็กชั่น ที่ยังทำออกมาไม่ดีเท่าไหร่นัก ที่แม้ว่าด้าน CG กราฟฟิกจะทำออกมาได้ดี และสามารถการประยุกต์พลังพิเศษของแต่ละคนให้ใช้ในการต่อสู้จะสร้างสรรค์และมีความครีเอทไม่น้อย แต่ในแง่ของฉากต่อสู้ด้วยมือเปล่าและการใช้อาวุธที่ดูสมจริงกลับทำออกมาไม่ดีนัก

จำเป็นต้องใช้เทคนิกสโลว์โมชั่นเข้าช่วยแบบเห็นได้ชัดอย่างมาก ถือว่าเป็นจุดด้อยเลยก็ว่าได้สำหรับใครที่อยากดูบทแอ็กชั่นฉับไว ดุดัน สมจริง นอกจากนี้ความแรงของเรื่องถือว่าอยู่ในระดับเรต 18+ เพราะมีฉากเลือดสาดแทรกอยู่ อาจจะไม่เหมาะสำหรับเด็ก

อีกจุดที่ยังทำได้ไม่ค่อยดีแต่มีความพยายามที่จะพัฒนาจากซีซันแรก ก็คือไดอาล็อคตัวละคร ที่ทุกคนพร้อมจะดราม่ากับตัวเองตลอดเวลา แถมปุปปัปอารมณ์ก็พร้อมเปลี่ยนแปลงอีก เพียงแต่ภาคนี้ความน่ารำคาญของหลายตัวละครลดลงไป ทำให้เรื่องดูสนุกขึ้นมาก

ตัวร้าย

ส่วนตัวร้าย ภาคนี้ต้องยอมรับว่าบทของพวกสามพี่น้องนักฆ่าสวีเดน ทำออกมาไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ ในขณะที่ผู้จัดหา ซึ่งเป็นตัวร้ายหลักที่ออกมาตั้งแต่ภาคแรก ก็เสียท่าง่ายเกินไป ทั้งที่เจ้าตัวอุตส่าห์วางแผนมาอย่างดี อีกทั้งบางมุกในตอนท้ายก็ออกจะเป็นแนวสูตรสำเร็จไปหน่อย ชนิดที่คนดูหนังมาเยอะมากพอจะเดาได้ไม่ยาก แต่ก็ถือว่าเป็นความพยายามในการหาทางลงสำหรับบทสรุปได้ดีเท่าที่จะทำได้แล้วเหมือนกัน

โดยรวม

โดยภาพรวมต้องยอมรับว่าตัวซีรีส์ในซีซัน 2 ดูสนุกและลื่นไหลกว่าซีซันแรกมาก ทั้งที่ต้องปูประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ของอเมริกาทั้งการลอบสังหารจอห์น เอฟ เคนเนดี ในปี 1963 การเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมของคนผิวสีในช่วงเริ่มต้น ไปจนถึงสงครามเวียดนามและลัทธิประหลาดที่เกิดขึ้นในยุคดังกล่าว แต่พอซีรีส์ไม่จำเป็นต้องปูพื้นหรือบอกเล่านิสัยใจคอของตัวละครแล้ว คนดูก็จะได้เห็นพวกเขาท่องไปในช่วงเวลาประวัติศาสตร์พร้อมบุคลิกแบบป่วน ๆ กวนประสาทของพวกเขาก็ทำให้ตัวซีรีส์ดูสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว

สรุป

ก็ถือว่า The Umbrella Academy Season 2 มีดีให้ติดตามและดูง่ายกว่าซีซันแรก แถมยังปูพื้นตอนท้ายว่าอาจมีซีซัน 3 ได้แบบยั่วความอยากดูสุด ๆ คงไม่ต้องลังเลแล้วสำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูหาเวลาสุดสัปดาห์นี้ไล่ดูยาว ๆ ได้เลย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

The Babysitter

Pokemon Mewtwo Strikes Back Evolution

One punch man - เทพบุตรหมัดเดียวจอด