Klaus
รีวิว Klaus - มหัศจรรย์ตำนานคริสต์มาส
หนังแอนิเมชั่นม้ามืดมาเงียบๆ จากสเปน เรื่องราวมิตรภาพต่างวัยของคน “ไร้ตัวตน” สองคนที่มาพบเจอกันโดยบังเอิญ เนื้อหาของแอนิเมชันคือดีมากๆ เราได้มองเห็นความเมตตาของใครซักคนที่ถูกส่งต่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้อาจจะเริ่มด้วยความไม่ตั้งใจ ความบังเอิญ หรืออะไรก็ตามแต่... รีวิว Klaus
เรื่องย่อ
“เจสเปอร์” หนุ่มวัยรุ่นที่เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลมหาเศรษฐีที่ทำกิจการไปรษณีย์มาช้านาน เขาเป็นคุณชายที่มีนิสัยแย่ไม่เอาการงานใดๆ จนผู้เป็นพ่อสุดทนจึงวางแผนดัดสันดานลูกชายตัวดีโดยส่งไปยังเมืองหิมะ “สเมียเรนส์เบิร์ก” ที่ตั้งอยู่บนเกาะห่างไกล
ให้ทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์คนใหม่ที่นั่น พร้อมตั้งเงื่อนไขให้ว่าต้องส่งจดหมายให้ครบ 6,000 ฉบับในเวลา 1 ปี ถึงจะได้กลับบ้าน และถ้าทำไม่ได้ก็จะโดนตัดออกจากกองมรดกตลอดชีวิตอีกด้วย เจสเปอร์จึงจำยอมเดินทางไปที่เมืองแห่งนี้ด้วยความไม่เต็มใจ
ก่อนจะได้พบกับ “เคล้าส์” ช่างไม้สูงวัยที่มีชีวิตเดียวดายอยู่นอกเมือง การพบกันของทั้งคู่ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงในเมืองที่ผู้คนแตกแยกเป็น 2 ฝ่ายมาช้านาน และก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเล่าขานถึงซานต้าในแบบมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่สมจริงอย่างน่าอัศจรรย์!
เข้าใจชัดเลยว่าทำไมได้รางวัลแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมไปครอง เพราะ Klaus นั้นยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงๆ ทั้งตัวภาพ ซาวด์แทร็ก เนื้อหา และความกินใจ เรายกให้เป็นอีกหนึ่งแอนิเมชั่นที่ควรค่าแก่การดูซักครั้งในชีวิตจริงๆเพราะหนังเรื่องนี้จะทำให้หัวใจของคุณพองฟูขึ้นมา ไม่ว่าคุณจะเป็นเด็กตัวเล็กๆ หรือเป็นผู้ใหญ่ซักคน แต่ Klaus จะทำให้หัวใจของคุณกลับมาอบอุ่นได้อีกครั้ง
เนื่อเรื่อง
เริ่มต้นเรื่องโดยมีหนุ่มบุรุษไปรษณีย์ผู้รักความสบายสุดๆ ชื่อ เจสเปอร์ (Jesper) ได้ถูกพ่อตัวเองที่เป็นเจ้าของบริษัทไปรษณีย์ส่งตัวไปยังเมืองน้ำแข็งเล็กๆ ที่ไกลโดดออกไปจากภูมิภาคประเทศอื่นๆ เนื่องจากต้องการดัดนิสัยในตัวลูกชายที่ไม่เคยจริงจังกับการทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์เลย โดยการออกคำสั่งว่าถ้าไม่สามารถส่งจดหมายครบทั้งหมด 6000 ฉบับโดยที่ทุกฉบับต้องประทับตราแสตมป์ด้วยตนเองได้ ก็จะตัดขาดจากกองมรดกเลยทีเดียว
เจสเปอร์ผู้เพียบพร้อม ไม่เคยตกระกำลำบาก เป็นคุณชายในบ้านหลังใหญ่ต้องมาเผชิญกับเมืองน้ำแข็งแห่งความมืดมืด พร้อมที่จะมีสงครามกันตลอดเวลา ซึ่งไม่มีหนทางที่คนในเมืองจะเขียนจดหมายหากันได้เลย จนวันหนึ่งเค้าได้เจอกับ เคล้าส์ (Klaus) ชายร่างใหญ่ที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูงทางตอนเหนือของเมืองแห่งนี้
ผู้ที่ทำให้เจสเปอร์คิดหาทางที่จะทำให้ชาวเมืองเขียนจดหมายส่งให้กับเค้าได้ เนื่องจากเคล้าส์มีของเล่นในบ้านจำนวนมาก ดังนั้นเด็กคนไหนที่อยากได้ของเล่นจากเคล้าส์จะต้องเขียนจดหมายส่งหาเคล้าส์ โดยมีตัวกลางในการส่งจดหมายนั่นก็คือเจสเปอร์นั่นเอง เด็กทุกคนจะต้องเขียนจดหมาย ผนึกลงซองพร้อมจ่าย 1 เหรียญเพื่อประทับตราแสตมป์
โดยเจสเปอร์ได้ประกาศให้เด็กทุกคนทราบว่าเด็กดีเท่านั้นที่เคล้าส์จะส่งดูหนังออนไลน์ของเล่นมาให้ เราจึงได้เห็นพัฒนาการของพฤติกรรมเด็กๆ ในเมืองในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ รู้จักช่วยเหลือกัน พัฒนาเมืองให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้ คุณครูอัลวา (Alva) คุณครูสาวสวยที่ไม่เคยได้สอนหนังสือเด็กเลยตั้งแต่เข้ามาในเมืองนี้ ได้เริ่มทำหน้าที่ที่ตัวเองอยากทำมาตั้งนานแล้ว เนื่องจากเด็กๆ ต้องการที่จะเขียนหนังสือให้เป็นเพราะจะได้เขียนส่งจดหมายไปหาเคล้าส์ได้
การดำเนินเรื่อง
หนังใช้จุดเริ่มต้นธีมหลักเป็นเรื่องราวชีวิตคนที่ดูเหมือน “ไร้ค่า ไร้ตัวตน (Invisible)” ในสังคม ซึ่ง “เจสเปอร์” ก็คือชายหนุ่มที่ไม่เอาไหน เห็นแก่ตัว ไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตให้เป็นชิ้นเป็นอัน การเป็นคนแปลกหน้ามาทำงานที่เมืองนี้ก็ไม่ได้มีใครใส่ใจให้ความสำคัญ
จนเมื่อเขาได้พบเจอกับ “เคล้าส์” ชายสูงวัยรูปร่างใหญ่น่ากลัวที่เลือกอาศัยอยู่ห่างไกลจากเมืองตัวคนเดียว ซึ่งเคล้าส์นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นตำนานเรื่องเล่าซานต้ามีชีวิตในเรื่องนี้ หลังจากที่ทั้งคู่ได้มาร่วมงานส่งของขวัญให้เด็กๆ ในแบบที่เป็นการทำดีไม่หวังผลกับคำคมประจำเรื่องที่เคล้าส์มักพูดว่า
การกระทำที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง จุดประกายให้เกิดการทำความดีเสมอ
เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ดำเนินเล่าเรื่องราวได้อย่างดี สอดแทรกมุกตลกให้ได้หัวเราะ บางฉากของเด็กๆ ที่ทำตัวดีขึ้นพาให้คนดูได้อมยิ้มไปกับความน่ารักน่าเอ็นดู พร้อมทั้งมีข้อคิดในเรื่องสอดแทรก โดยเฉพาะประโยคที่เจสเปอร์เคยพูดกับเคล้าส์ว่า การกระทำของคนเราย่อมมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังเสมอ
แต่เคล้าส์ก็พูดกลับไปให้เจสเปอร์คิดว่า ‘การกระทำที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง จุดประกายให้เกิดการทำความดีเสมอ‘ ซึ่งในตอนสุดท้ายของเรื่อง เจสเปอร์ก็ได้รับรู้ถึงการกระทำที่เว็บดูหนังปราศจากความเห็นแก่ตัวได้อย่างแท้จริง แถมยังมีเพลงประกอบเพราะๆ ชื่อว่าเพลง Invisible ร้องโดย Zara Larsson โดยเนื้อหาเพลงเกี่ยวข้องกับสิ่งดีๆ ความสุขความรู้สึกดีๆ ที่อาจจะมองไม่เห็นแต่สามารถสัมผัสด้วยความรู้สึกได้
หนังใช้ประโยคนี้ในการผลักดันเรื่องราวความดีส่งต่อ โดยเริ่มจากการทำดีของทั้งคู่ส่งต่อไปถึงเด็กๆ ที่มีพ่อแม่สั่งสอนให้เกลียดกัน ทำให้เด็กๆ เห็นว่าการทำดีจะได้สิ่งดีๆ ตอบแทนกลับมา แม้ว่าแรงจูงใจจะเป็นเรื่องของขวัญที่เด็กดีเท่านั้นถึงได้รับ ซึ่งเป็นกฎที่เจสเปอร์ตั้งขึ้นมาเองหลังจากหมั่นไส้ไม่ให้ของขวัญเด็กเกเรที่แกล้งเขา แต่นั่นก็กลายเป็นว่า การทำความดีของเด็กๆ ช่วยเปลี่ยนแปลงเมืองและจิตใจของผู้ใหญ่ไปในทางที่ดีขึ้นทีละน้อยๆ
แต่หนังก็ไม่ได้หยิบจับประเด็นมาเล่นแบบง่ายๆ เพราะตัวเจสเปอร์เองต่างหากที่เริ่มทำงานนี้เพื่อหาจดหมายให้ครบ 6 พันฉบับ เพื่อที่เขาจะได้กลับไปบ้านที่มีความสะดวกสบายกว่าเมืองแห่งนี้ นั่นจึงไม่ใช่ความดีที่แท้จริง และตัวเจสเปอร์เองภายนอกก็ยังเป็นหนุ่มวัยรุ่นที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวอยู่ตามวัย
นั่นจึงเป็นปมสำคัญที่ทำให้เรื่องราวนี้ไม่ได้จบลงง่ายๆ หนังพาเจสเปอร์เรียนรู้สิ่งดีๆ ที่เข้ามาในชีวิตหลังร่วมงานกับเคล้าส์ ให้เขาค่อยๆ มีคุณค่ากับคนอื่นแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้สึกถึงความสำคัญของตัวเองก็ตามที แต่ความเป็นจริงที่เปลี่ยนไปในทางบวกของเมืองก็ทำให้เจสเปอร์เห็นคุณค่าของตัวเองจากงานที่ทำ
ส่วนอีกด้านปมความผิดในใจที่เขาปิดบังความจริงหลอกให้เคล้าส์เอาของเล่นเด็กมาแจก โดยที่ตัวเองโดยประโยชน์ลับๆ และโกหกมาตลอด หนังมีบทลงโทษที่เหมาะสมกับเรื่องราว พร้อมทั้งการลงมือกระทำแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูก ผ่าน “การกระทำที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง” ทำให้เขาเริ่มเติบโตมีวุฒิภาวะความรับผิดชอบมากขึ้น ในแบบหนัง Coming of Age ที่สมบูรณ์ในเรื่องราวอย่างน่าเชื่อถือไม่แพ้หนังคนแสดงดีๆ เลย
ปมบาดแผลในจิตใจ
ไม่ใช่แค่การเติบโตของเจสเปอร์ ตัวเคล้าส์เองก็มีเรื่องการก้าวข้ามปมบาดแผลในจิตใจที่เวลาไม่อาจเยียวยาได้ จนกลายเป็นคนจมทุกข์อยู่กับตัวเอง ปลีกวิเวกไร้ตัวตนไม่คบหาใครในสังคม แต่แล้วก็ได้เจสเปอร์มากระตุ้น (หรือหลอก) ให้ทำความดีส่งของเล่นให้เด็กๆ จนได้รอยยิ้มของเด็กน้อยมาช่วยสมานแผลใจของเขาทีละน้อยๆ จนกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง
เคล้าส์ต่างกับเจสเปอร์ตรงที่เขาเป็นชายสูงวัยที่มีหัวใจบริสุทธิ์ที่เชื่อในคำพูดที่ว่า “การกระทำที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง จุดประกายให้เกิดการทำความดีเสมอ” อย่างแรงกล้า (ต่างกับเจสเปอร์ที่เชื่อว่าไม่มีใครทำอะไรไม่หวังผลได้) แม้แต่การส่งของขวัญก็ไม่ได้หวังได้หน้าตาชื่อเสียงอะไร
โดยเขาตั้งกฎกับเจสเปอร์ว่าต้องแอบไปส่งตอนกลางคืนไม่ให้ใครเห็น ก็เลยกลายเป็นที่มาเรื่องเล่าข่าวลือทีละนิดหน่อยจากเด็กๆ มารวมกันจนกลายเป็นซานต้าในแบบเรียลไลฟ์สมเหตุผลจากมนุษย์ปุถุชนธรรมไปสู่ตำนานเหนือจริง แม้ว่านี่จะเป็นแค่เรื่องแต่งอีกเรื่องของตำนานซานตาครอสก็ตามที
นอกจากนี้ปมของจิตใจเคล้าส์ยังเชื่อมโยงถึงเรื่องราวเหนือจริงเคียงคู่กับบทเพลง Invisible อีกด้วย ซึ่งก็เป็นการตีความได้ทั้งในแบบความทรงจำที่ยังคงอยู่ หรือจินตนาการเหนือจริงที่ในเรื่องใส่มาเพียงน้อยนิดให้คนดูได้ต่อยอดความคิดปลายเปิดกับเรื่องราวส่วนนี้
และไม่ใช่แค่ตัวละครหลักสองคน หนังยังมีตัวละครหญิง “อัลวา” หญิงสาวผู้จบครูมาโดยตรง แต่กลับละทิ้งการสอนเปลี่ยนห้องเรียนเป็นร้านขายปลาสด ชีวิตมีแต่เก็บเงินเพื่อหวังให้หลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ในเมืองโทรมๆ แห่งนี้เท่านั้น อัลวาเป็นตัวละครที่มีฝันในวัยทำงาน แต่กลับไม่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้
เธอยอมแพ้และโทษตัวเองที่พลาดมาติดอยู่ที่นี่ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตจริงที่หนุ่มสาวทุกคนฝันอยากทำงานที่ชอบ แต่ในชีวิตจริงกลับมีโอกาสเป็นไปได้ตามฝันน้อยมาก เชื่อว่าหลายคนต้องเคยผ่านมาจุดนี้มา หรือแม้แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ รวมถึงคิดว่าหมดหวังแล้วกับการวิ่งไล่ตามความฝัน
เรื่องราวของอัลวาแม้จะมีไม่มากนัก แต่เป็นเรื่องราวที่มีชีวิตจับต้องได้เหมือนจริง (แม้จะอยู่ในโลกแอนิเมชั่น) กับไล่ตามฝันของเธออีกครั้งเพื่อสอนหนังสือเด็กที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ การไล่ตามฝันของอัลวาช่วยเติมเต็มเรื่องราวของ Klaus ให้สมบูรณ์มีมิติขึ้นไปอีก และคงทำให้ผู้ชมได้หวนคิดถึงความฝันของตัวเองอีกครั้งไม่มากก็น้อย
จุดที่ประทับใจ
เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ดำเนินเล่าเรื่องราวได้อย่างดี สอดแทรกมุกตลกให้ได้หัวเราะ บางฉากของเด็กๆ ที่ทำตัวดีขึ้นพาให้คนดูได้อมยิ้มไปกับความน่ารักน่าเอ็นดู พร้อมทั้งมีข้อคิดในเรื่องสอดแทรก โดยเฉพาะประโยคที่เจสเปอร์เคยพูดกับเคล้าส์ว่า การกระทำของคนเราย่อมมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังเสมอ
แต่เคล้าส์ก็พูดกลับไปให้เจสเปอร์คิดว่า ‘การกระทำที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง จุดประกายให้เกิดการทำความดีเสมอ‘ ซึ่งในตอนสุดท้ายของเรื่อง เจสเปอร์ก็ได้รับรู้ถึงการกระทำที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวได้อย่างแท้จริง
แถมยังมีเพลงประกอบเพราะๆ ชื่อว่าเพลง Invisible ร้องโดย Zara Larsson โดยเนื้อหาเพลงเกี่ยวข้องกับสิ่งดีๆ ความสุขความรู้สึกดีๆ ที่อาจจะมองไม่เห็นแต่สามารถสัมผัสด้วยความรู้สึกได้
โดยรวม
นี่เป็นหนังแอนิชั่นที่เกินกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบ ทั้งเรื่องราวลึกซึ้งกินใจ ตลกแบบเป็นธรรมชาติน่ารักมากมาย ลายเส้นสวยงามเหมาะกับเรื่องราว เพลงประกอบ Invisible ไพเราะลึกซึ้งมีความนัยแทนความหมายชีวิตของตัวละครในเรื่องได้เป็นอย่างดี รวมถึงแอบมีส่วนของจิตวิญาณแฟนตาซีนิดๆ ที่รับรองว่าดูจบแล้วฟังเข้าใจยิ่งซึ้งเข้าไปอีก
นี่จึงเป็นหนังที่ควรค่าแก่การบอกต่อแนะนำให้ทุกคนได้ดู หนังดูแล้วอบอุ่นอิ่มเอมหัวใจ ซาบซึ้งไปกับเรื่องราวมิตรภาพต่างวัย เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังในการดำเนินชีวิต ในแบบที่แตะทัชเข้ากลางใจผู้ชมได้อย่างแน่นอน เตือนไว้เลยว่าระหว่างที่ดูอาจจะเสียน้ำตาเป็นปี๊บโดยไม่รู้ตัว (ผู้เขียนโดนมาแล้ว)
สรุป
เป็นหนังมีคุณค่าการรับชมสูง ดูซ้ำก็ยังสนุก แนะนำให้ลองดูทั้งเสียงต้นฉบับและเสียงพากษ์ไทยที่ดีมากแบบไร้ที่ติ ทุกตัวละครได้เสียงที่เหมาะสมลงตัวเข้ากันทั้งกับคาแรกเตอร์และอายุในเรื่องทั้งหมด แม้แต่เสียงตัวประกอบเล็กน้อยก็ทำความแตกต่างทำได้ดี อย่างเด็กมี 3 คนในฉากก็มี 3 เสียงได้ยินพร้อมกัน
รวมถึงการไล่ลำดับระยะทางเสียงเบาหนักซ้ายขวาตามภาพที่เกิดขึ้นก็สมจริงทุกจุด เป็นเวอร์ชั่นพากษ์ไทยที่ดีมากจนเหลือเชื่อเหมือนกันว่า Netflix ไทยได้ทีมไหนมารับงานนี้ ทำให้หนังเรื่องนี้ทรงคุณค่าขึ้นไปอีก จนเกินกว่าจะเป็นแค่หนังในระบบสตรีมมิ่งออนไลน์เพียงอย่างเดียว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น