Sausage Party - ปาร์ตี้ไส้กรอก
รีวิว Sausage Party - ปาร์ตี้ไส้กรอก
คำเตือนคือ Sausage Partyเป็นการ์ตูนอะนิเมชั่น 18+ สำหรับผู้ใหญ่ ไม่เหมาะกับเด็กด้วยประการทั้งปวง เพราะการนำเสนอและเนื้อหาส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเซ็กส์อย่างโจ๋งครึ่มทั้งภาพ เสียง และภาษา ควรใช้วิจารณญาณอย่างแรงกล้าในการรับชม มุกแต่ละสิ่งอย่างของเค้า เราบอกเลยว่า #ร้องเหี้ยหนักมาก รีวิว Sausage Party
เรื่องย่อ
เรื่องราวของ Sausage Partyเกิดในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง อาหารและสินค้าต่าง ๆ ในนั้นมีชีวิตและรอวันที่นักช้อป (ซึ่งพวกเขาเรียกว่า “พระเจ้า” หรือ “ทวยเทพ”) มาหยิบเขาใส่ตะกร้าและพาเขาไปนอกซูเปอร์ฯ (ซึ่งพวกเขาเชื่อว่ามันคือ “สวรรค์”) ความเชื่อนี้ถูกปรุงแต่งโดยบรรพบุรุษอินเดียนที่แต่งเรื่องขึ้นเพื่อให้ทุกคนไม่ panic
เป็นแอนิเมชันที่ยอมรับตามตรงว่าตอนดูทีเซอร์ที่ตัดออกมาในตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกติดใจอะไรกับมันเท่าไหร่ จนกระทั่งมาสะดุดกับข้อความที่ระบุไว้ว่า ‘แอนิเมชันที่เด็กไม่ควรดู แต่ผู้ใหญ่ไม่ควรพลาด’ ในความหมายของแอนิเมชันเรท R คือจากที่มองผ่าน ๆ ครั้งสองครั้ง เห็นพระนางเป็นไส้กรอกและขนมปังฮ็อทด็อก
มันก็มีความหมิ่นเหม่ที่จะคิดไปในทางสัปดนอยู่แล้ว (ฮา) แต่จุดที่มันน่าสนใจอยู่เล็กๆ จากที่เห็นหน้าหนังคือ มันดูฉีกออกไปดีนะ ดูมี passion ดี โจทย์คือมันจะเล่ายังไงกับการดึงเอาอาหารในซุปเปอร์มาร์เก็ตมาเดินเรื่องให้มันน่าสนใจ แน่ล่ะว่าไอเดียนี้เชื่อว่าเราตอนเด็ก ๆ ก็คงเคยจินตนาการว่าไอ้โน่นไอ้นี่มันก็น่าจะมีชีวิตเหมือนกันนะ
แต่นั่นแหละพอมาเป็นหนังการ์ตูน ทำยังไงให้มันดูน่ารักขึ้นมาได้ เพราะแคแร็คเตอร์มันเป็น ‘อาหาร’ ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจไม่ค่อยมีภาพแคแร็คเตอร์ของมันอยู่ในใจ ไม่เหมือนกับ ‘สัตว์’ ที่มันทำให้คน ‘อิน’ ง่ายมากที่จะหลงรักมันเหมือนแอนิเมชันหลาย ๆ เรื่อง
เนื้อเรื่อง
เนื้อหาหลักมันเป็นเรื่องของเหล่าอาหารและวัตถุดิบในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่พวกมันมีความเข้าใจว่า การถูกหยิบออกจากเชลฟ์วางของนั้นคือการถูกเลือกจากทวยเทพ (หรือมนุษย์นั่นเอง) และทวยเทพจะพาพวกมันไปยังดินแดนอันเป็นนิรันดร์ที่จะทำให้พวกมันเป็นอมตะ แต่ความจริงอันแสนโหดร้ายหาเป็นเช่นนั้นไม่
เมื่อมารู้ว่าพวกมันแค่กำลังจะถูกเอาไปประกอบอาหารเท่านั้น ซึ่งหนุ่มไส้กรอก แฟรงค์ ที่ได้รู้ความจริงนั้นพยายามจะเตือนเพื่อน ๆ รวมทั้ง แบรนด้า (คริสเตน วิก) แฟนสาวขนมปังฮ็อทด็อกของเขาให้หันมาหาวิธีเอาตัวรอดจากการเป็นอาหารของมนุษย์ให้ได้
แค่เพียงเริ่มต้นได้ไม่เท่าไหร่ Sausage Party ก็เริ่มแผลงฤทธิ์ออกลายมาแล้ว ซึ่งประเด็นเรื่องใต้สะดือนั้นกลายเป็นพาร์ทหลักของตัวแอนิเมชันไปเลย เคยได้ยินมุขแอบจิตนิด ๆ ประเภทเจอคนสวยนั่งอยู่แล้วเราอยากเป็นเก้าอี้ หรือว่าอยากเป็นน้องหมาที่เธอกอดแนบอกอยู่ไหม หนังมันก็หยิบมาเล่นในแนวทางนั้นแหละ
แต่ว่า ‘จังไร’ กว่ากันเยอะ (ฮา) dialog บทสนทนาดูหนังสดแบบติดเรต จนเอนเอียงมาทางแนวเซ็กซ์โฟน ความที่ตัวการ์ตูนแต่ละตัวค่อนข้างมีความ dark ตัวการ์ตูนเล่นยา ด่าหยาบ เอะอะก็เข้าเรื่องใต้สะดือ แต่มันมีลูกเล่น มีลูกล่อลูกชน มันเลยไม่เลี่ยน ความที่มันไปได้อิสระ ไม่มีกรอบ กล้าเล่น กล้าใส่มาให้ดู จนหลายฉากเราต้องคิดว่า ‘เอาแบบนี้เลยเรอะ!?’
จุดที่น่าสนใจ
จุดที่น่าสนใจเลยก็คือโปรเจ็กต์นี้ได้นักแสดงหนุ่มจอมเกรียนอย่าง เซ็ธ โรแกน มาหน้าที่โปรดิวเซอร์และเขียนบท แถมรับบทพากย์เป็นพระเอกหนุ่มไส้กรอกฮ็อทด็อกที่ชื่อ ‘แฟรงค์’ ด้วย ซึ่งวีรกรรมที่เขาเคยฝากไว้ทั้งใน Green Hornet, The Interview รวมทั้ง Bad Neighbors 2
ประกอบกับการมาผนึกกำลังร่วมดูหนังผ่านเน็ตกับทีมพากย์ที่มาจากนักแสดงสายฮาอย่าง โจนาห์ ฮิลล์, คริสเตน วิก, ซัลมา ฮาแยก, เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, เจมส์ แฟรนโก, บิล เฮเดอร์ และ พอล รัดด์ ก็ทำให้ส่วนตัวเตรียมใจมาแล้วว่าไอ้การ์ตูนปาร์ตี้ไส้กรอกเนี่ย ไม่น่าพลาดฉากเสื่อมๆ จิต ๆ ทำการ์ตูนเสียเด็กมาให้เห็นแน่ ๆ (ฮา)
ตัวละคร
ตัวละครหลักคือไส้กรอก Frank กับขนมปัง Brenda ทั้งสองเป็นแฟนกัน แต่ Brenda ค่อนข้างเคร่งศาสนา เชื่อในพระเจ้า รักนวลสงวนตัว ในขณะที่ Frank ต้องการพิสูจน์ หักล้าง หาเหตุผล และเปลี่ยนแปลงความเชื่อเรื่องพระเจ้าแบบเดิม ๆ ที่ไม่มีเหตุผล (แต่พอมันทำให้ทุกคนเลิกศรัทธาในพระเจ้าแล้ว โคตรวุ่นวายเลยจ้า จัดปาร์ตี้เซ็กส์หมู่เอากันสนั่นร้านเลยจ้า)
Frank เป็นบทเรียนที่ดีของนักปฏิวัติ กล่าวคือ ถ้า Frank พยายามเปลี่ยนแปลงหรือลบล้างความคิดความเชื่อของคนอื่นแบบหักดิบ เหมือนไม่เคารพสิ่งที่คนอื่นเชื่อ…สิ่งที่คนอื่นเป็น ก็จะไม่มีใครเชื่อเขา และอาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ เขาต้องใช้เหตุผลและหลักฐานมาหักล้างอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ไส้กรอกอีกตัวที่เด่นพอ ๆ กับ Frank คือ Barry ซึ่งเป็นไส้กรอกที่สั้น ๆ ป้อม ๆ กว่าไส้กรอกตัวอื่น ๆ โดย Barry จะเป็นตัวแทนของคนตัวเล็กใจใหญ่ คนที่ไม่สมประกอบ หรือคนที่ลักษณะกายภาพแตกต่างจากคนปกติ
เจ๊ทาโก้เม็กซิกันก็เป็นตัวแทนของ LGBT หรือพวกนาซีก็มี อ้างอิงถึงเหตุการณ์ Holocaust ได้ เพราะไอ้นาซีพวกนี้ร้องแต่จะฆ่าน้ำผลไม้อีท่าเดียวอยู่นั่น แต่ที่เด่นหน่อยก็เป็นคู่แป้งโรตีอาบังที่เป็นมุสลิมกับปังเบเกิ้ลที่เป็นยิว สองตัวนี้อยู่เชลฟ์ติดกัน แต่ทะเลาะตีกันโหวกเหวกไม่เว้นวัน เปรียบเสมือนดินแดนอิสราเอลกับปาเลสไตน์ก็ว่าได้
นอกจากนี้ยังมีตัวละครอีกตัวนึงที่ขโมยซีนและเรียกเสียงปรบมือได้บ่อยกว่าใครเพื่อนคือตัวหมากฝรั่งที่เป็นตัวแทนของพวกฝั่งวิทยาศาสตร์ ตัวนี้มีความคล้าย Stephen Hawking อย่างตั้งใจ คาแรกเตอร์เหมือนเค้าขนาดไหน เรียกเสียงฮาได้สักแค่ไหน ไปดูกันเอง
การสอดแทรกประเด็นเสียดสี
อีกส่วนหนึ่งที่เห็นได้ชัดในหนังการ์ตูนเรื่องนี้เลยก็คือ มันมีจังหวะจะโคนในการสอดแทรกประเด็นเสียดสีสังคมอเมริกันได้เจ็บแสบ เหน็บแหนมไปยันศาสนารวมทั้งปรัชญาห่าเหวแบบไม่ไว้หน้า รวมทั้งล้อเลียนสำเนียงภาษาอังกฤษของพวกเม็กซิกันและพวกแขกแบบเบาๆ พอขำขัน การใช้แคแร็คเตอร์เป็นอาหารประจำชาติมาเล่นรวมทั้งเสียงพากย์ที่แคสกันมาดีก็ทำให้ตัวละครมีมิติ
ทั้งตลกและสัปดนแบบไม่ติดขัด บางช่วงอาจมียืดเยื้อจนน่าเบื่อทำเอาเกือบหลับไปบ้าง แต่มุขประเภท dirty joke มากมายที่มีโอกาสหนังก็ใส่มาเรื่อย ๆ รวมทั้งความที่มันแอบโหดร้ายและทารุณ เน้นความสะใจ ซาดิสต์ปนสยองนิด ๆ ทำให้คนดูยังไม่หลุดไปจากนั้น หลายฉากเรายังต้องอ้าปากค้าง ขนาดคนดูในโรงที่เป็นผู้ใหญ่โตๆ กันแล้วถึงขนาดอุทานมามีทั้งระดับ ‘เหี้ยมมาก’ ไปจนถึง ‘โคตรเหี้ยม’ เลยทีเดียว (ฮา)
สรุป
Sausage Party หากมองในมุมที่ผู้กำกับจะสื่อสารในแบบจิกกัดและเสียดสี มันก็เป็นเมสเซจในแบบฉบับของความแอนตี้มนุษย์ สังเกตได้ว่าตัวหนังเสียดสีจริตของคนในสังคมเอามาล้อในหนังอยู่เรื่อยๆ มันเป็นหนังที่ยืนตรงข้ามกับคำว่าโลกสวยแต่กลับกันสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่โค(ตร)ขยันหลอกตัวเอง ไอ้ประเภทป้ายโลโก้ร้านอาหารที่มีทั้ง ไก่ หมู หรือวัวมายกนิ้วโป้งบอกว่าร้านนี้อร่อย หรือเนื้อเกรดดี
นั่นแหละมันช่างแตกต่างกับเวลาไปดูที่โรงเชือดเลย ตัวละครอาหารเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนเป็นตัวละครสมมติที่ออกมาจัดการ แก้แค้นมนุษย์ในแบบที่ผู้กำกับอยากจะให้มนุษย์อยู่ในสภาวะถูกเย้ยหยันเป็นเบี้ยล่างบ้าง ซึ่งจะสัปดน จะดาร์กแค่ไหน พอมาอยู่ในสภาพตัวการ์ตูนแอนิเมชันแล้วมันก็ดู soft ลงและไม่มีดราม่า แต่อาจทำให้คุณรู้สึกไม่อยากกินไส้กรอกไปอีกพักใหญ่ (ฮา)
อย่างไรก็ตาม แนวทางของ Sausage Party อาจทำให้มันประสบความสำเร็จในแง่การตลาด โดยเฉพาะการเล่นกับกระแส แม้พล็อตเรื่องมันแทบไม่มีอะไร แต่ความที่ไม่มีกรอบของมันที่ทำให้ตัวละครเรื่องนี้มันทำได้ทุกอย่าง และถ้าเราไม่อิงใจไปตามกระแสบนโซเชียลจนเกินไปนัก มันอาจทำให้เรามองข้ามรายละเอียด
และความฉลาดในการเล่า ความลึกล้ำในการนำเสนอหลายจุดที่ทำได้น่าสนใจภายใต้ความอุบาทว์สัปดนนั้น ซึ่งเป็นจุดที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้ผมไม่น้อย เพราะหากถามถึงความสนุก มันให้ความบันเทิง มันฮา มันเอนเตอร์เทน อาจไม่ได้ดีเลิศหรือเหนือชั้นอะไร แต่มันก็มีความ ‘สุด’ ของตัวมันเองแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น